จากสงคราม Smart Contract สู่ Ethereum 2.0

ก่อนหน้านี้ เราได้พูดถึงแพลตฟอร์ม Smart Contracts มากมายหลายเจ้าที่ต้องการโค่นล้มเจ้าตลาดอย่าง Ethereum ไปแล้ว ในบทความนี้เลยอยากสรุปสถานการณ์ที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในการแย่งส่วนแบ่งในตลาด Smart Contracts ก่อนที่เราจะไปคุยกันต่อในเรื่อง การชิงฐานผู้ใช้งานกลับมาของด้วย Ethereum 2.0 และ Scaling Solutions ต่างๆ เอาหล่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า
.
จากการถือกำเนิดของ Ethereum แพลตฟอร์ม Smart Contracts ที่ถูกขนานนามว่าเป็น The World’s Computer ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้าง Smart Contracts มารันบน Ethereum ได้อย่างอิสระ จึงเกิดนวัตกรรม อย่าง DApps ขึ้นมา
.
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดกระแส Defi, GameFi, และ NFTs ขึ้นมามากมาย จนทำให้เกิดปัญหาการทำธุรกรรมได้ช้า เนื่องจากมีความต้องการในการใช้งานที่มากขึ้นอย่างมหาศาล ส่งผลให้ค่า Gas บน Ethereum แพงขึ้นเป็นอย่างมาก จากการแย่งกันทำธุรกรรม เพราะแต่เดิม Ethereum ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการรองรับธุรกรรมในระดับนี้
.
โดย Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum ได้อธิบายไว้ว่า Blockchains นั้นมีคุณสมบัติอยู่ 3 อย่าง (Blockchain Trilemma) ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมๆกัน ได้แก่
Scalability ความสามารถในการรองรับธุรกรรม (หรือ ความเร็วในการทำธุรกรรม)
Security ความปลอดภัย
Decentralization การกระจายศูนย์

และคุณสมบัติที่ Ethereum เลือกก็คือ Security กับ Decentralization ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต้องมี เพราะธุรกรรมส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเงิน จึงต้องเน้นย้ำในเรื่องของความปลอดภัย และกระจายศูนย์
.
เมื่อมีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้ามาในโลกของ DeFi, GameFi, NFTs ก็ย่อมที่จะต้องมีผู้เล่นหน้าใหม่ๆเข้ามาเพื่อขอส่วนแบ่งอย่างแน่นอน จึงเกิดคู่แข่งรายใหญ่อย่าง Binance Smart Chain (BSC) ที่เน้นในเรื่องของความสามารถในการรองรับธุรกรรมที่เร็วและถูก (Scalability) และความปลอดภัย (Security) ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยความ Decentralization ที่ต่ำ เพราะ BSC แทบจะควบคุม Node เองทั้งหมด
.
จากการที่ BSC ทำตัวเองให้เป็น Ethereum Virtual Machine Compatible นั้น ก็ได้ผลตอบรับที่ดี เพราะสามารถดึง DApps, ฐานผู้ใช้งาน, และเม็ดเงินมาจาก Ethereum ได้เป็นจำนวนมาก นอกจากข้อดีของความง่ายต่อการพัฒนา, ถูก, และเร็วแล้ว BSC ยังมอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานให้แก่ผู้ใช้งานอีกด้วย เพราะ Binance มีกระดานเทรดเป็นของตัวเองอยู่แล้ว การนำเงิน Fiat (เช่น ค่าเงิน THB, USD) มาอยู่บน BSC จึงทำได้สะดวกกว่า เมื่อเทียบกับ Ethereum ด้วยสาเหตุเหล่านี้ จึงทำให้ BSC กลายมาเป็น Blockchain ที่มีผู้ใช้งานสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก
.
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดคู่แข่งจำนวนมากที่ต้องการท้าชิง Ethereum อย่าง Avalanche (AVAX), Fantom (FTM), Polygon (MATIC), Terra (LUNA), Solana (SOL) ที่เน้นในเรื่องของความเร็วและค่า Gas ที่ถูกมากๆ (Scailability) จึงสามารถกินส่วนแบ่งของ Ethereum ไปได้

Ethereum เองก็ตระหนักถึงปัญหานี้ดี
และเพื่อที่จะครองความเป็นหนึ่งในตลาด Smart Contracts จึงได้วางแผนสำหรับการพัฒนา Ethereum 2.0 ขึ้นมา ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ แต่เวลาที่ยาวนานขนาดนี้ก็อาจจะทำให้คู่แข่งรายอื่นๆแย่งสัดส่วนทางการตลาดไปจนหมด จึงตามมาด้วยการแก้ปัญหาด้วย Scaling Solutions ต่างๆ ที่เราจะมาคุยกันในตอนต่อๆไป
.
บทความนี้ไม่ใช่การแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด
.
#DYOR ทำความเข้าใจเพิ่มเติมและวางแผนให้ดีก่อนลงทุน
#Ethereum #ETH #SmartContracts #LayerOneBlockchain
.
https://ethereum.org/en/developers/docs/
https://www.ledger.com/academy/what-is-the-blockchain-trilemma
https://medium.com/certik/the-blockchain-trilemma-decentralized-scalable-and-secure-e9d8c41a87b3