สินค้าและบริการทั้ง 4 ประเภทตามหลักเศรษฐศาสตร์
เคยได้ยินกันใช่มั้ยครับ ว่า “สินค้าและบริการทุกอย่างล้วนมีราคาของมัน” ไม่ว่าจะอาหารซักมื้อ หรือ การเดินทางไปไหนมาไหนซักเที่ยว คุณต้องยอมจ่ายเพื่อให้ได้รับสินค้าและบริการเหล่านั้น แต่รู้มั้ยครับว่า ยังมีสินค้าบางประเภทที่เราสามารถบริโภคได้โดยไม่มีราคาที่ต้องจ่าย
ในทางเศรษฐศาสตร์ เราสามารถแบ่งสินค้าและบริการเป็นสี่ประเภท โดยใช้การเป็นปรปักษ์ (rival) และการแบ่งแยกออกจากกันได้ (excludable) การเป็นปรปักษ์ หมายถึง เมื่อมีคนบริโภคสินค้านั้นแล้วจะทำให้คนอื่นไม่สามารถใช้สินค้านั้นได้อีก ส่วนการแบ่งแยกออกจากกันได้ หมายความว่า เราสามารถกีดกันไม่ให้คนอื่นใช้สินค้าหรือบริการนั้นได้ เช่น ถ้าไม่จ่ายเงินก็ไม่มีสิทธิบริโภคสินค้านั้น

สินค้าเอกชน (private goods)
มักจะเป็นสินค้าที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด และเมื่อเราซื้อสินค้าประเภทนี้แล้ว คนอื่นจะไม่สามารถใช้มันได้อีก เช่น ที่พักอาศัย เมื่อเราซื้อแล้ว คนอื่นก็ไม่สามารถมาอยู่ในบ้านของเราได้ นอกจากนี้ยังรวมไปถึง เลขทะเบียนรถสวยๆ เบอร์มงคล ที่เมื่อเราประมูลหรือซื้อมาได้แล้ว มันก็จะเป็นสิทธิของเราคนเดียว คนอื่นจะนำไปใช้ซ้ำไม่ได้
สินค้าเฉพาะกลุ่ม (club goods)
เป็นสินค้าหรือบริการที่สามารถกีดกันการบริโภคได้ แต่ถึงแม้เราจะซื้อสินค้าหรือบริการนั้นๆแล้ว คนอื่นก็ยังสามารถจ่ายเงินเพื่อรับบริการนั้นๆได้อยู่ดี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆก็มี สัญญาณโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ต ค่าน้ำ ค่าไฟ ถ้าคุณจ่ายค่าบริการทุกๆเดือน คุณก็สามารถใช้บริการได้ และการที่คุณใช้บริการนั้นๆ ก็ไม่ได้เป็นการไปขัดขวางการใช้งานของผู้อื่น ส่วนใหญ่แล้ว สินค้าเฉพาะกลุ่มมักจะไม่ค่อยสร้างต้นทุนเพิ่มให้แก่ผู้ผลิตเมื่อให้บริการลูกค้ามากขึ้น อย่างเช่น บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ที่ลงทุนในการก่อสร้างทางด่วนเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าจะมีรถวิ่งบนทางด่วนวันละ 100 คัน หรือ 10,000 คัน บริษัทก็ไม่ต้องเสียต้นทุนผันแปร (variable cost) เพิ่ม
ทรัพยากรร่วม (common resource)
คือสินค้าและบริการที่เมื่อเราใช้แล้ว คนอื่นจะใช้ไม่ได้ แต่เราก็ไม่มีสิทธิไปห้ามคนอื่นจากการใช้งานเช่นกัน เช่น ทรัพยากรธรรมชาติๆอย่างป่าไม้ เหมืองแร่ หรือน้ำบาดาลที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครใช้ก่อนก็ถือว่าเป็นเจ้าของไป
สินค้าสาธารณะ (public goods)
เป็นสินค้าหรือบริการที่ไม่สามารถกีดกันการบริโภคได้ เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของ และถึงเราบริโภคไปก็ไม่ส่งผลต่อคนอื่น จึงสามารถใช้ได้ตามชอบ เช่นแสงแดดและอากาศ เราไม่สามารถห้ามคนอื่นไม่ให้สูดอากาศได้ และถึงแม้คนอื่นจะสูดอากาศไป เราก็ยังหายใจได้อยู่ สิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับจากรัฐบาลก็เช่นกัน ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สิทธิรักษาพยาบาล สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง รวมไปถึงบริการป้องกันและดูแลรักษาความปลอดภัยของประเทศซึ่งจัดเป็นบริการสาธารณะที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้
แล้วการแบ่งสินค้าออกเป็นประเภทๆนั้นให้ประโยชน์อะไรกับเรา?
นอกจากความรู้ที่ว่าสินค้าและบริการอะไรบ้างที่เราต้องจ่ายเพื่อให้ได้มา และสิทธิประโยชน์ที่เราควรได้รับแล้ว หน้าที่ในการช่วยรักษาสมบัติส่วนรวมนั้นก็สำคัญ
มีอยู่ปัญหาหนึ่งที่เราเรียกว่าโศกนาฏกรรมของสาธารณสมบัติ (tragedy of the commons) คือปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อคนใดคนหนึ่งใช้ทรัพยากรส่วนรวมจนเสียหายหรือหมดไปจนทำให้คนอื่นๆไม่สามารถใช้ต่อได้
เอาเรื่องของฝุ่น PM 2.5 มาว่ากันก็ได้ อย่างที่ทราบกันแล้วว่าสิ่งแวดล้อมอย่างอากาศนั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครที่มีหน้าที่ในการรับผิดชอบในส่วนนี้โดยเฉพาะ หลายๆโรงงานอุตสาหกรรมปล่อยควันที่เกิดจากการผลิตออกมา เกษตรกรหลายๆคนเลือกการเผาไร่นาเพื่อลดค่าแรง คนบางส่วนเลือกที่จะใช้รถส่วนตัวแทนรถสาธารณะ ยอมสร้างมลพิษจากท่อไอเสียเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย บริษัทรับเหมาและเจ้าของโครงการต่างๆเลือกที่จะทำให้เกิดฝุ่นจากการก่อสร้างเพื่อให้โครงการนั้นๆเสร็จและพร้อมจะสร้างผลกำไรให้กับบริษัท ทุกคนรู้ดีว่าการกระทำดังกล่าวนั้นสร้างผลเสียให้กับตนเองและคนอื่นๆ แต่ทุกคนก็ยังเลือกที่จะทำต่อไป เพราะเชื่อว่าถึงเราหยุดทำไป คนอื่นก็ยังจะทำต่อไปอยู่ดี หนำซ้ำหลายๆคนยังคิดว่าการกระทำดังกล่าวนั้นให้ผลประโยชน์กับตนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผลเสียที่จะได้รับนั้นจะถัวเฉลี่ยความเสียหายกับผู้อื่นด้วย สุดท้ายอากาศก็จะเสียหาย และเราล้วนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
สุดท้ายนี้ก็อยากฝากไว้ให้คิดกันนะครับ ว่า รู้จักสิทธิกันแล้ว อย่าลืมนึกถึงหน้าที่กันด้วยหล่ะ